ข้อควรรู้ก่อนซื้อรถ EV

ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถ EV เราควรพิจารณาปัจจัยอะไรบ้าง?

1. ดูความจุของแบตเตอรี่กับระยะทางที่วิ่งได้ไกลที่สุด  เช่น  รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้า 100% หรือที่เรียกว่าแบบ BEV (Battery Electric Vehicle)
ถ้าใช้แบตเตอรี่ความจุ 60-90 kW จะสามารถวิ่งได้ไกลถึง 338-473 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง เป็นต้น ซึ่งถ้าหากอยากได้รถที่วิ่งระยะทางไกลมากขึ้น ก็ต้องเลือกรุ่นที่แบตมีความจุสูงมากขึ้นและแน่นอนว่าราคาของรถก็จะสูงตามขนาดความจุของแบตเตอรี่

2. ดูระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ รถ EV แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ มีระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอร์รี่เต็มไม่เท่ากัน ตามขนาดความจุของแบตเตอรี่ เช่น ชาร์จแบบธรรมดาที่ใช้ไฟบ้านเป็นกระแสสลับ (AC) ใช้เวลาในการชาร์จประมาณ 12-16 ชม. ชาร์จแบบรวดเร็วจากตู้ไฟฟ้า EV Charger ใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชม. ชาร์จแบบด่วนตามสถานีชาร์จนอกบ้านที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที

3. ใช้รถ EV ต้องเตรียมที่ชาร์จไฟฟ้าที่บ้าน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของไทยในเรื่องสถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุม หรือหากมีสถานีชาร์จอยู่ใกล้ แต่อาจไม่มีหัวชาร์จที่ใช้ได้กับรถ EV ที่ใช้ เพราะมาตรฐานหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละยี่ห้อแตกต่างกัน เพื่อความสะดวกอาจติดตั้งที่ชาร์จไฟที่บ้าน แต่จะต้องเปลี่ยนขนาดมิเตอร์ไฟฟ้าให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไม่น้อยกว่า 30 แอมป์ (A) พร้อมเปลี่ยนสายเมนไฟฟ้าเข้าบ้านเป็น 25 ตร.มม. และเปลี่ยนลูกเซอร์กิต (MCB)
ให้มีขนาด 100 แอมป์(A) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น และต้องเพิ่ม Circuit Breaker อีก 1 ช่องในตู้ควบคุมไฟฟ้า (MDB) เพื่อแยกการใช้งานระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบ้าน รวมถึงต้องติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพื่อช่วยตัดไฟฟ้าอัตโนมัติ กรณีหากเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือไฟฟ้าดูด นอกจากนี้ต้องเตรียมเต้ารับ (EV Socket) เพื่อเสียบชาร์จรถให้สอดคล้องกับปลั๊กของรถยนต์ในแต่ละรุ่น ทั้งนี้จุดชาร์จไฟรถ EV ในบ้าน ต้องเดินวงจรสายไฟ
แยกออกมาต่างหากเพื่อความปลอดภัย และต้องได้รับการติดตั้งจากช่างไฟฟ้าที่ชำนาญการเท่านั้น

4. ดูค่าเชื้อเพลิงที่ต้องจ่าย เมื่อเปรียบเทียบค่าเชื้อเพลิงระหว่างค่าน้ำมันกับค่าชาร์จไฟฟ้า พบว่า ค่าชาร์จไฟฟ้าของรถ EV ประหยัดกว่าค่าเติมน้ำมัน โดยค่าเติมน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 1.50 – 3 บาท/ กิโลเมตร ขณะที่ค่าชาร์จไฟรถ EV อยู่เฉลี่ยอยู่ที่ 0.26-0.50 บาท / กิโลเมตร จะเห็นได้ว่ารถ EV ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่ารถน้ำมันหลายเท่าตัว

5. ดูเรื่องการซ่อมบำรุง เมื่อเปรียบเทียบค่าซ่อมบำรุงระหว่างรถที่ใช้น้ำมันกับรถ EV พบว่ารถ EV ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ไม่มีเครื่องยนต์ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกทำให้ค่าซ่อมบำรุงและค่าดูแลรักษาต่ำกว่ารถที่ใช้น้ำมัน เฉลี่ยแล้วต่ำกว่า 50% แต่รถไฟฟ้าหากเกิดเสียจะมีค่าอะไหล่ที่แพงกว่า เช่น ค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่รถ Tesla จะอยู่ที่ 162,000 – 220,000 บาท จะเห็นได้ว่าผู้ใช้รถ EV จะสบายเรื่องการซ่อมบำรุงที่ไม่ค่อยจุกจิกไม่ต้องคอยเอารถเข้าศูนย์บ่อยๆ แต่ถ้าหากเกิดต้องซ่อมขึ้นมาอาจต้องเสียเงินเป็นหลักแสนเลย นอกจากนี้ รถน้ำมันหากเสียสามารถหาศูนย์หรือเข้าอู่ซ่อมรถทั่วไปได้ แต่ถ้าเป็นรถ EV จะต้องเข้าศูนย์อย่างเดียวเพราะเทคโนโลยียังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

6. ดูแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและมีบริการหลังการขาย เนื่องจากรถไฟฟ้าเพิ่งเข้ามาในไทยไม่นาน การพิจารณาเลือกแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือและได้มาตรฐานการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งต้องมีศูนย์บริการหลังจากขายที่ได้มาตรฐาน สามารถช่วยเหลือเวลารถเกิดมีปัญหา เพราะไม่สามารถซ่อมรถ EV นอกศูนย์บริการได้ การรับประกันระบบไฟฟ้าและแบตเตอร์รี่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของรถยนต์ไฟฟ้า ผู้จำหน่ายรถยนต์ส่วนใหญ่มักให้การรับประกันที่ 5 ปี หรือ 100,000 กม. ขึ้นไป (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ถ้าเลือกเจ้าที่รับประกันนานกว่านั้นได้จึงยิ่งดี และควรเลือกรถ EV ยี่ห้อที่มีศูนย์บริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน เพื่อการช่วยเหลือเวลารถเกิดมีปัญหา เนื่องจากรถ EV ไม่สามารถซ่อมนอกศูนย์บริการได้

7. ดูไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับตัวเอง รถ EV จึงเหมาะกับคนที่มีตารางการใช้ชีวิตใน 1 สัปดาห์เหมือนเดิมเกิน 70% หมายความว่า เป็นคนที่ขับรถไป-กลับระหว่างบ้านกับที่ทำงานในระยะทางเท่าๆ เดิมเกือบทั้งสัปดาห์ รถยนต์ไฟฟ้าไม่เหมาะกับคนที่ต้องเดินทางไกลบ่อย หรือไปในเส้นทางใหม่ๆ ที่ไม่แน่ใจว่ามีจุดชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่ เพราะ ณ ปัจจุบันจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ DC Fastcharge ยังครอบคลุมแค่เส้นทางสายหลักระหว่างหัวเมือง แต่ยังไม่กระจายไปสู่เส้นทางสายรองหรืออำเภอเล็กๆ

Source: https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/home-car/buy-ev-car.html