รถ EV กับสิ่งแวดล้อม

การขับรถ EV ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าการขับรถที่ใช้น้ำมันปกติจริงหรือไม่

ตอบสั่นๆ คือใช่

ถึงแม้ว่าในกระบวนการผลิตรถ EV ใช้พลังงานมากกว่ารถธรรมดามาก แต่ถ้าเรามองที่ Lifetime emission หรือปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวัฏจักรชีวิตตั้งแต่ขั้นการผลิตจนถึงการใช้งาน รถ EV จะปล่อยก๊าซเรื่อนกระจกต่ำกว่ารถยนต์ธรรมดา

พูดง่ายๆการขับรถ EV มีผลต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับรถยนต์ธรรมดา เพราะ Usage emission หรือ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ณ ตอนใช้ (ต่อ 1 กม. ที่ขับ) น้อยกว่านั่นเอง ตัวอย่างเช่น อย่างเช่น เราจะต้องขับ Tesla Model 3 เป็นระยะทาง 21,725 ​​กม. ก่อนที่มันจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า Toyota Corolla ในระยะทางการใช้งานเดียวกัน

ถ้าคุณขับรถวันละ 50 กม. จะใช้เวลา 1.2 ปี กว่าจะถึงจุดคุ้มทุนด้านสิ้งแวดล้อมนั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น รถยนต์ EV ไม่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อ Carbon footprint และ Lifetime emission ของรถ EV

(1) แหล่งที่มาของพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยมาจากก๊าซธรรมชาติราว ๆ 60% และถ่านหินอีก 15% ที่เหลือเป็นไฟฟ้าที่ได้จากเขื่อน พลังงานหมุนเวียนลมและแสงอาทิตย์ บางส่วนรับมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและมาเลเซีย เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าการเผาไหม้ไม่ได้เกิดจากการขับเคลื่อนในตัวรถ (Internal Combustion Engine) รถ EV ที่ใช้พลังงานจากแหล่งไม่สะอาดก็ยังมีส่วนในการเผาไหม้และการปล่อยคาร์บอน ณ ตอนที่โรงงานผลิตไฟฟ้านั่นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะลด Lifetime emission ของรถ EV ของเรา ประเทศไทยควรจะวางแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด และลดบทบาทของก๊าซธรรมชาติและถ่านหินลงด้วย

2) กระบวนการสร้างแบตเตอรี่ กระบวนการสร้างแบตเตอรี่และสายการผลิตรถยนต์คือส่วนที่สร้างมลภาวะเยอะที่สุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ประมาณครึ่งหนึ่งของมลภาวะที่เกิดขึ้นจากแบตเตอรี่มาจากพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ในการผลิต แถมยังมีเรื่องกระบวนการขุดแร่โลหะหนัก เมื่อทำเหมืองต้องมีการขุดทำลายพื้นที่ป่า สร้างความเสียหายให้กับสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์ อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ต้องมีการเร่งพัฒนาในอนาคตคือเรื่องการรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่าให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้ เราจึงจะสามารถลด emission จากขบวนการทำเหมืองและผลิตแบตเตอรี่ลงได้

(3) ช่วงเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ ข้อนี้เป็น 1 ปัจจัยที่เราสามารถส่งเสริมได้ในฐานะผู้บริโภคแต่อาจจะไม่ตอบโจทย์เรื่องค่าใช้จ่าย การชาร์จรถ EV ในชั่วโมงเร่งด่วนหรือ Peak hours (เวลา 09:00 – 22:00 น. วันจันทร์ – ศุกร์) มักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า แต่ไฟฟ้าที่ได้จะมาจากแหล่งพลังงานสะอาดมากกว่าถ้าเราชาร์จในช่วง Off-peak hours (เวลา 22:00 – 09:00 น.วันจันทร์ – ศุกร์ และ เวลา 00:00 – 24:00 วันเสาร์ – อาทิตย์) นั่นเป็นเพราะว่าประเทศไทยพึ่งพาพลังงานจากก๊าซธรรมชาติเป็นแหล่งพลังงานหลัก ถ้ามีใช้ไม่เพียงพอการไฟฟ้าถึงจะไปดึงพลังงานจากแหล่งสะอาดมาใช้นั่นเอง

ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างรถ EV และสิ่งแวดล้อมอาจจะไม่ได้ตรงตัวอย่างที่ทุกคนคิด การใช้รถ EV ในวันนี้ยังไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องการลด Carbon emission ได้ในระยะสั้นได้ ในอนาคตเราคงจะเห็นการพัฒนาขั้นตอนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงอย่างแน่นอน

Sources:

https://www.iea.org/data-and-statistics/charts/comparative-life-cycle-greenhouse-gas-emissions-of-a-mid-size-bev-and-ice-vehicle

https://www.beartai.com/brief/1076030

https://www.cnbc.com/2021/07/26/lifetime-emissions-of-evs-are-lower-than-gasoline-cars-experts-say.html

https://www.reuters.com/business/autos-transportation/when-do-electric-vehicles-become-cleaner-than-gasoline-cars-2021-06-29/